Bookmark and Share

สนุก ! ความรู้

วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2554

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เจาะเส้นทาง"ธาริต เพ็งดิษฐ์"รับใช้นายไม่เลือกสี สอบภาษีแค่น้ำจิ้ม ต้องเจออีกหลายดอก หมอดูฟันธงดวงดี



วันที่ 03 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 21:21:56 น.  มติชนออนไลน์

เจาะเส้นทาง"ธาริต เพ็งดิษฐ์"รับใช้นายไม่เลือกสี สอบภาษีแค่น้ำจิ้ม ต้องเจออีกหลายดอก หมอดูฟันธงดวงดี

"ธาริต เพ็งดิษฐ์"เป็นอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ.)ที่ดังเป็นพลุแตก   ตกเป็นข่าวหน้า 1 ทุกวัน ไม่ว่าจะข่าวดีหรือข่าวร้าย
    

ล่าสุด   มือ(ไม่)ดี ส่งจดหมาย มาขู่ฆ่า   จนเจ้าตัวเองก็ยอมรับว่า ขวัญเสีย  เพราะจดหมายในซองสีน้ำตาล ประทับตราครุฑ เขียนว่า
    

" พวกกูทั้งสายลับ อดีตสายลับ สายข่าว ทหาร ตำรวจฯช่วงงานศพอาจารย์เสธ. แดง พวกกูทั้งหลายได้สาบานว่า จะขอทำทุกอย่างเพื่อให้มึงและพวกได้ตายตามเสธแดงอย่างน่าเวทนาเป็นที่สุด เริ่มจากคนที่พวกมึงรักก่อน ส่วนมึงเมื่อไหร่ก็ได้ 10 ปีก็ยังไม่มีคำว่าสาย หากคิดจะแก้แค้นและเอาคืน
     

วิธีฆ่ามึงและพวกนั้นมีมากมายหลายแบบ หากมึงตายโหงขณะมีตำแหน่งติดตัวยิ่งดีมาก ถึงแม้พวกกูจะถูกจับได้ก็ไม่เป็นไร มันจะเป็นประวัติศาสตร์อันล้ำค่าสำหรับการสังหารคนเลวๆอย่างมึง วันนี้กูอาจจะผิด พรุ่งนี้ก็คงถูกเองแหละ สำหรับพวกกูวันนี้อาจเป็นฆาตกร(ฆ่ามึง) แต่วันหน้าคือวีรบุรุษ (แห่งชาติ)โว้ย"
      

โดนขู่ฆ่าแบบเถื่อนๆ  ดิบๆ  อธิบดี ดีเอสไอ.  จึงเรียกใช้บริการหน่วยอารักขาของตำรวจและทหาร ตลอด 24 ชั่วโมง
       

ทว่า ข่าวจดหมายขู่ฆ่า กลบข่าวเช็คปริศนา  1.5 แสนบาท ที่สั่งจ่ายจากเฮียเม้ง โอนเข้าบัญชี   "วรรษมล"  หลังบ้านของอธิบดีดีเอสไอ. ไปในทันที
      

 แม้ว่า สังคมยังไม่ได้รับความกระจ่างว่า เช็ค 1.5 แสนเป็นค่าตอบแทนอะไรกันแน่ ระหว่าง "ค่าวิ่งเต้นเลี่ยงภาษีของเฮียเม้ง" หรือ "เงินค่าบริการคำปรึกษาทางกฎหมาย" ?
      

ยังไม่นับ ประเด็นฝากจาก"เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ "ส.ว.จอมแฉ  ที่เสียบออกมาอย่างรู้จังหวะ  ทวงถามว่า  ค่าบริการที่ว่า เสียภาษี  แล้วหรือยัง ?
      

นี่คือ "อธิบดีรายวัน"ตัวจริง เสียงจริง หากอยากรู้เส้นทางวิบากกรรมของอธิบดีคนดัง " มติชนออนไลน์"จัดให้แล้ว ณ บัดนี้
     

"ธาริต เพ็งดิษฐ์" เป็นเด็กเรียนดีจากชัยนาท  จังหวัดเดียวกับ"มีชัย ฤชุพันธุ์" มือกฎหมายใหญ่  ธาริต สำเร็จนิติศาสตร์บัณฑิตเกียรตินิยม จากม.ธุรกิจบัณฑิต   (ปี 2525) 2 ปีต่อมาสอบได้เป็นเนติบัณฑิต และคว้าปริญญาโททางกฎหมายจุฬาลงกรณ์ เป็นลูกศิษย์สุดเลิฟของ"อาจารย์ป้อม" ดร.วีระพงษ์ บุญโญภาส    เจ้าพ่อกฎหมายฟอกเงินแห่งจุฬาฯ
    

ในวงการกฎหมาย ต้องถือว่า "ธาริต" เป็นนักกฎหมายที่ฉลาดและเก่งมาก  ข้อเท็จจริงส่วนนี้ไม่มีใครปฎิเสธ  ชีวิตการทำงานเริ่มต้นที่ตำแหน่งอาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์
    

จากนั้นก็สอบเป็นอัยการในปี 2532   ได้พบกับ  "วรรษมล"   ที่ปากช่อง จ.นครราชสีมา และกลายเป็นตำนานรัก จนมาถึงทุกวันนี้
    

และที่ปากช่องนี่เองที่"ธาริต-วรรษมล" ได้โอกาสซื้อที่ดินแปลงใหญ่มาไว้ในครอบครองที่จะได้กล่าวต่อไป
     

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ"ธาริต" เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อฝีมือของอัยการหนุ่มเข้าตา"หมอมิ้ง" นพ. พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช รองนายกฯในขณะนั้น จึงได้ถูกชวนไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี  เป็นที่ปรึกษาให้แก่" เดอะกิ้น" พันศักดิ์ วิญญรัตน์ ที่ปรึกษาใหญ่ของนายกฯทักษิณ
     

ในช่วงรัฐบาลทักษิณ "ธาริต" เป็นหนึ่งในคณะทำงานยกร่างกฎหมายกรมสอบสวนคดีพิเศษ  จะเห็นได้ว่า "ธาริต" อยู่กับ พรรคไทยรักไทย และทักษิณ ได้อย่างดีเยี่ยม
      

จนถึงรัฐบาล"สมชาย วงศ์สวัสดิ์"   ธาริต  ย้ายจากสำนักงานอัยการสูงสุด มานั่งเป็น รองอธิบดีดีเอสไอ.  เป็นความรุ่งเรืองในวิชาชีพที่เพื่อนรุ่นเดียวกัน ตามไม่ทัน
      

แต่ในห้วงเวลาที่ พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์ นั่งเป็นอธิบดี ดีเอสไอ. และตำรวจพาเหรดเข้ามายึด ดีเอสไอ.   "ธาริต" ได้แวปออกไปร่วมร่างกฎหมายและร่วมจัดตั้ง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (คณะกรรมการ ป.ป.ท.)   และที่สำคัญ เขาได้นั่งเป็น เลขาธิการ ป.ป.ท. ในวันที่  " พ.ต.อ. ทวี  สอดส่อง"นั่งเป็น อธิบดี ดีเอสไอ.
   

 เมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้ว พรรคประชาธิปัตย์ ผงาดขึ้นสู่อำนาจทางการเมือง    "เดอะตุ๋ย " พีระพันธ์  สาลีรัฐวิภาค นั่งเป็นรมว.กระทรวงยุติธรรม
   

"ธาริต" ในตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ แสดงฝีมือโค่นยักษ์ใหญ่ ล้มตึง เมื่อเขาออกมาแฉว่า วิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการคณะกรรมการ กบข.  ไม่โปร่งใส  เอาเงินกองทุนหลายหมื่นล้านไปลงทุนบนความเสี่ยง ผลก็คือ วิสิฐ จบเห่  "ธาริต" ขึ้นหม้อ   กลายเป็นฮีโร่  ในสายตาข้าราชการทั่วประเทศ
      

กลางตุลาคม 2552   ธาริต เพ็งดิษฐ์    ผงาดขึ้นเป็นอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แทนพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ที่ถูกย้ายไปเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม (มติครม.29 ก.ย.2552)        แล้ว พลันเสียง วิจารณ์ก็กระหึ่มไปทั้ง ดีเอสไอ.ว่า  ธาริต เป็นสายตรงจาก"อภิสิทธิ์ -สุเทพ เทือกสุบรรณ" ?
   

แต่ถ้ามองโลกให้เป็นจริง "ธาริต" ทำงานให้กับนาย"ทุกคน"  นายจะสีอะไร จะสีเหลือง สีแดง หรือ สีม่วง    ไม่ใช่เรื่องของคนชื่อ"ธาริต"
   

คนที่เคยร่วมงานกับ"ธาริต" บอกว่า ใครได้ ธาริต เป็นลูกน้อง " โคตรโชคดี"  เพราะ เขาเป็นคนที่เก่ง ฉลาด ขยัน และทุ่มเท จนตัวตายเพื่อนาย !!!
    

ฉะนั้น ใครที่บอกว่า ธาริต  รับใช้ ประชาธิปัตย์  ต้องพูดใหม่ให้ถูกว่า ธาริต รับใช้ "นาย" มากกว่า รับใช้พรรค
   

ตัวอย่างของ"มือทำงาน"ที่อุทิศตัวเพื่อนาย ที่ถูกบันทึกในตำนานการเมืองคือ  "นิพัทธ์ พุกกะณะสุต"คนโตแห่งกระทรวงการคลัง  แมวเก้าชีวิตที่อยู่ได้ทุกรัฐบาล   ชั่วโมงนี้ "ธาริต" จะเป็นแมว เก้าชีวิตหรือไม่ ต้องจับตามองกันต่อไปยาวๆ 
    

"ธาริต"เป็นนักกฎหมายที่มีต้นทุนสูง เพราะมีคอนเนกชั่นที่ดีกับทุกพรรคและทุกคน  ในพรรคประชาธิปัตย์ "ธาริต" สนิทกับกูรูใหญ่ปชป. "มารุต บุนนาค" ในวงการกฎหมาย "ธาริต" เป็นศิษย์เอกของ"ศ.ดร.คณิต ณ นคร" เพราะเคยนั่งหน้าห้องอัยการสุงสุด  จนรู้ใจนายเป็นอย่างดี   
  

และที่สำคัญ"ธาริต" รู้ธรรมชาติและนิสัยถาวรของ"นักข่าว" ได้ทะลุว่า นักข่าวต้องการอะไร และนักข่าวอยากรู้อะไร ?
    

ผลงานที่"ธาริต" ทำให้ อภิสิทธิ์-เทพเทือก   มีประสิทธิภาพสูงมาก  ไม่ว่าจะเป็น การตัดท่อน้ำเลี้ยงเสื้อแดง อย่างเบ็ดเสร็จ
    

จะว่าไป เทคนิค ตัดท่อน้ำเสี้ยง ของ"ธาริต" มาจาก อาจารย์ป้อม  ดร.วีระพงษ์ บุญโญภาส  ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ จุฬาฯ และกูรูกฎหมายฟอกเงิน นั่นเอง
    

การแทงความเห็นไม่สั่งฟ้องคดีทีพีไอ.ไซฟ่อนเงิน ของดีเอสไอ.  ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร    เรื่องใหญ่ๆ ร้อนๆ กว่านี้ ดีเอสไอ.ก็ทำมาแล้ว
     

ผลงานรายวันของ"ธาริต" ทำให้ ศัตรูของ"อภิสิทธิ์-เทพเทือก"เดือดดาล และ แค้นเคือง แบบสุดถึงขั้นขู่ปลดถ้าได้เป็นรัฐบาล
     

ความพยายามที่จะโค่น"ธาริต" มาจากทั่วสารทิศ  ปมประเด็นเมียกับปริศนาเงิน 1.5 แสน เป็นเพียง น้ำจิ้ม  จากนี้ไป  จะมีการขุดประเด็นส่วนตัวของ"ธาริตและเมีย" ออกมาอีกเป็นซีรีย์
    

 เร็ว ๆ วันนี้  อาจมีเรื่องที่ดินในนิคมปากช่องที่เขารวบรวมไว้ได้เป็นแปลงใหญ่ในราคาถูก  และกำลังจะขายออกในราคาหลายร้อยล้าน ก็เป็นประเด็นหนึ่งที่รอการเปิดโปงโดยศัตรูฝ่ายตรงข้ามที่เสียประโยชน์
    

 แต่ถามว่า "ธาริต" กลัวไหมกับเรื่องพรรค์นี้    คำตอบคือ ...ไม่ยี่หระ(ว่ะ) 
   

 " 3  หมอดูชื่อดัง"  ฟันธง ว่า  ดวงชะตา ของธาริต  ดีมาก  จะรุ่งโรจน์และเจริญก้าวหน้า ไปอีกนาน  เหตุนี้เองทำให้ ธาริต ฮึดสู้ไม่ถอย 
    

ปัญหาที่กระทบประโยชน์ส่วนรวม มีเพียงประการเดียวคือ มาตรฐานวิชาชีพของ ดีเอสไอ. นั่นเองที่จะเสื่อมลง
    

"ธาริต" อาจเจริญก้าวหน้ามีอนาคต แต่ดีเอสไอ. จะค่อยๆ  เสื่อมความนิยม และความน่าเชื่อถือ
    

ข้อมูลที่พิสูจน์สมมติฐานนี้ก็คือ คดีที่ส่งออกจาก ดีเอสไอ. ส่วนใหญ่ ไปไม่ถึงศาล  เพราะสำนวนอ่อน อัยการไม่สั่งฟ้อง 
   

นั่นอาจเป็นดัชนีชี้วัด คุณภาพของสำนวนในแฟ้ม ดีเอสไอ.  จากยุคก่อตั้งจนถึงยุค"ธาริต"
   

"ธาริต" เองก็รู้ปัญหานี้ดี  เพราะเขาเป็นคนยกร่างกฎหมายดีเอสไอ.มากับมือ เพียงแต่ว่า เขาจะมีเวลา คิดทบทวนปัญหานี้หรือไม่ ?

                                http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1280830982&grpid=&catid=02

--
http://www.classifiedthai.com/event_view.php

อธิการบดีคนใหม่ ภาพลักษณ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์



วันที่ 04 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 20:30:00 น.  มติชนออนไลน์

อธิการบดีคนใหม่ ภาพลักษณ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

โดย สายพิน แก้วงามประเสริฐ

เดือนกันยายน พ.ศ.2553 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะมีอธิการบดีคนใหม่ เวลานี้จึงเป็นช่วงของการสรรหาอธิการบดีมหาวิทยาลัยคนใหม่


ผู้เข้ารับการสรรหาล้วนเป็นผู้มีความรู้ความสามารถด้านวิชาการเป็น อย่างดี เพราะต่างผ่านการศึกษาในระดับสูง มีผลงานด้านการวิจัย มีประสบการณ์การสอน และเคยมีตำแหน่งบริหารทั้งในระดับคณะหรือในระดับมหาวิทยาลัยมาไม่มากก็น้อย


คุณสมบัติตามที่กล่าวมาคงมีไม่แตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งสำคัญคือ ภาพลักษณ์ของอธิการบดีคนใหม่กับภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นไปใน ทิศทางเดียวกันหรือไม่ เนื่องจากรากเหง้าที่มาและตัวตนของมหาวิทยาลัยที่ครั้งหนึ่งเคยชื่อว่า มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง จึงจำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับการเมือง


โดยที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กำเนิดขึ้นในวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2477 หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบประชาธิปไตยเพียง 2 ปี นอกจากนี้ผู้ก่อตั้งหรือผู้ประศาสนการคือนายปรีดี พนมยงค์ ยังเป็นหัวหน้าคณะราษฎรสายพลเรือน ที่เป็นมันสมองของคณะราษฎร มีความมุ่งหมายในการก่อตั้งว่า "มหาวิทยาลัย ย่อมอุปมาประดุจบ่อน้ำบำบัดความกระหายของราษฎร์ผู้สมัครแสวงหาความรู้ อันเป็นสิทธิและโอกาสที่เขาควรมี ควรได้รับตามหลักเสรีภาพในการศึกษา"


ดังนั้นแรกเริ่มเดิมที มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จึงเป็นมหาวิทยาลัยเปิด ที่ใครๆ ก็สามารถทำงานด้วยเรียนไปด้วยได้ ลูกคนยากคนจนที่ไม่มีโอกาสได้เรียนมหาวิทยาลัย เมื่อมหาวิทยาลัยแห่งนี้กำเนิดขึ้นก็สามารถพลิกผันชีวิตตนเองจนได้เป็นธรรม ศาสตรบัณฑิต กลายเป็นนักกฎหมายที่มีชื่อเสียง ได้กลับมาช่วยเหลือคนยากคนจนก็มีให้เห็น


มหาวิทยาลัยแห่งนี้ผลิตนักคิดนักเขียน นักการเมืองที่กล้าท้าทายอำนาจเผด็จการ นักต่อสู้เพื่อคนยากคนจำนวนไม่น้อย


หลายเหตุการณ์ทางการเมืองที่มหาวิทยาลัยเข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นขบวนการเสรีไทย กบฏวังหลวง เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 และเหตุการณ์อื่นๆ อีกหลายเหตุการณ์ ล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ยืนอยู่เคียงข้างประชาชนเสมอมา ดังคำขวัญที่คุ้นๆ กันอยู่เสมอว่า "ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน" (กุหลาบ สายประดิษฐ์)


นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยังมีภาพลักษณ์เป็นมหาวิทยาลัยที่เคียงคู่และต่อสู้ เพื่อความยุติธรรมให้กับประชาชน ดังคำขวัญที่ว่า "หากขาดโดม เจ้าพระยา ท่าพระจันทร์ ก็เหมือนขาดสัญลักษณ์พิทักษ์" (เปลื้อง วรรณศรี)


ภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัยสอดคล้องกับการปกครองระบอบประชาธิปไตย ที่ให้ความสำคัญกับสิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคของประชาชน ทุกครั้งเมื่อประชาชนได้รับความเดือดร้อน ในอดีตมหาวิทยาลัยแห่งนี้ไม่เคยนิ่งดูดาย


วาระที่ พ.ศ.2553 เป็นวาระครบรอบ 110 ปี ชาตกาลของนายปรีดี พนมยงค์ มีคำขวัญที่คุ้นหูว่า "110 ปี ความดีไม่สูญหาย" เวลาที่ผ่านไปพิสูจน์ให้เห็นว่าผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แม้ต้องพบรักมรสุมทางการเมืองด้วยการถูกใส่ร้ายป้ายสีต่างๆ นานา จนไม่อาจอยู่บนผืนแผ่นดินไทยที่รักของท่านได้ก็ตาม แต่เวลาได้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า "110 ปี ความดีไม่สูญหาย" จริงๆ


มีคนจำนวนไม่น้อยตระหนักและเห็นความสำคัญของท่าน ที่ต้องการให้ประเทศชาติเกิดความเจริญก้าวหน้า สามารถธำรงปกป้องการปกครองระบอบประชาธิปไตย ที่ให้ความสำคัญกับประชาชน


นอกจากนี้ ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของมหาวิทยาลัยที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเป็นเวลากว่า 70 ปี เป็นประวัติศาสตร์ของการต่อสู้กับอำนาจที่ไม่เป็นธรรมเสมอมา ตลอดจนการต่อต้านการใช้อำนาจเผด็จการแม้แต่คราวที่มหาวิทยาลัยถูกทหารยึดใน สมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็ตาม แต่ในที่สุดด้วยพลังของความสามัคคี นักศึกษาก็สามารถยึดมหาวิทยาลัยกลับคืนมาได้


ด้วยที่มาของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตลอดจนภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัยที่เป็นมหาวิทยาลัยของคนทุกชนชั้น และมหาวิทยาลัยเพื่อปวงชน ดังนั้น เพื่อรักษาภาพลักษณ์และภาระหน้าที่ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้พึงมี การสรรหาจนกระทั่งได้ตัวอธิการบดีคนใหม่ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คงไม่อาจได้เพียงผู้มีความรู้ความสามารถด้านวิชาการเพียงอย่างเดียว หรือเพียงบริหารมหาวิทยาลัยได้เก่ง ได้ดีเท่านั้น


นั่นคืออธิการบดีต้องทำให้มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นเหมือนบ่อน้ำที่ บำบัดความกระหายของราษฎรเป็นมหาวิทยาลัยที่อยู่ข้างประชาชนอย่างแท้จริง ทั้งด้วยการมุ่งผลิตบัณฑิตให้มีความรู้ความสามารถ มีจิตสำนึกแบบประชาธิปไตย มุ่งรับใช้ประชาชน แม้ท่ามกลางความเปลี่ยนไปของสังคมในวันนี้ ที่กระแสทุนนิยมเข้าครอบงำวิถีชีวิตผู้คนที่ทำให้เห็นเงินเป็นใหญ่ แต่ภาระของอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คือ การสร้างจิตวิญญาณให้กับเยาวชนคนหนุ่มสาวเหล่านี้ให้ได้


ดังนั้น คนเป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จึงต้องมีสัญญาประชาคม ที่ต้องนำพามหาวิทยาลัยให้เป็นบ่อบำบัดความกระหายของราษฎร และเป็นสถาบันทางการศึกษาที่มีหน้าที่ปลูกปั้นปัญญาให้แก่ผู้คนในสังคม


รวมทั้งการปกป้องธำรงรักษาการปกครองระบอบประชาธิปไตย เหมือนดั่งเจตนารมณ์ของผู้ประศาสน์การ และอยู่เคียงข้างประชาชนทุกชนชั้นอย่างแท้จริง


แต่บทบาทท่าทีของอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง ทั้งการใช้ความรุนแรงกับประชาชน การที่ประเทศต้องตกอยู่ในภาวะฉุกเฉินอธิการบดีไม่ได้แสดงท่าทีของการอยู่ เคียงข้างประชาชน หรือปกป้องสิทธิมนุษยชน ให้สมกับที่เป็นผู้นำสถาบันการศึกษาที่ควรเป็นเสาหลักของการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยแต่อย่างใด


ทำให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปัจจุบันแทบไม่มีบทบาทของมหาวิทยาลัย ของคนทุกชนชั้น และเป็นที่พึ่งของประชาชน ทั้งที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นผลผลิตของคณะราษฎร และการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475


ภาพลักษณ์ดังกล่าวของอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปัจจุบัน จึงเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่สอดคล้องกับการกำเนิดและบทบาทของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ในอดีต


ดังนั้น ในวาระที่จะมีอธิการบดีคนใหม่ หากการสรรหาแล้วได้บุคคลที่มีทั้งความรู้ความสามารถด้านวิชาการ การบริหาร และมีภาพลักษณ์ของความเป็นนักประชาธิปไตย และมีความรักต่อประชาชนโดยเฉพาะคนยากคนจนแล้ว


อธิการบดีคนใหม่คงเป็นความภาคภูมิใจของชุมชนธรรมศาสตร์ และคนในสังคมได้อย่างไม่อายใคร

                                http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1280915052&grpid=&catid=02

--
http://www.classifiedthai.com/event_view.php

รมช.เกษตรชงครม.ของบฯเพิ่มเป็น 8 พันล้าน ปลูกยางเฟส 2 อ้างปรับเงื่อนไขแจกปุ๋ยฟรี 7 ปี "สุเทพ"ไฟเขียวแล้ว


ศุภชัย โพธิ์สุ

วันที่ 05 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 04:26:05 น.  มติชนออนไลน์

รมช.เกษตรชงครม.ของบฯเพิ่มเป็น8พันล้าน ปลูกยางเฟส2 อ้างปรับเงื่อนไขแจกปุ๋ยฟรี7ปี "สุเทพ"ไฟเขียวแล้ว

รมช.เกษตรฯเตรียมขอเพิ่มงบฯปลูกยางพาราเฟส 2 จาก 3.9 พันล้านเป็น 8 พันล้าน อ้างปรับเงื่อนไขแจกปุ๋ยฟรีจาก 3 ปีเป็น 7 ปี พร้อมช่วยค่าแรงช่วงเพาะปลูกให้เกษตรกรยากจน ดันเข้า ครม.อีกครั้ง เล็งใช้เงินกู้จากธกส.

 


นายศุภชัย โพธิ์สุ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผย"มติชน" เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้ร่วมหารือกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี หารือถึงแนวทางการดำเนินงานโครงการขยายพื้นปลูกยางพารา ระยะที่ 2 จำนวน 800,000 ไร่ ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ซึ่งทุกคนมีความเห็นร่วมกันที่จะผลักดันการดำเนินงานโครงการนี้ ให้เกิดขึ้นภายในรัฐบาลชุดนี้ให้ได้ เพราะเห็นว่าเป็นโครงการที่มีประโยชน์ สามารถช่วยเหลือเกษตรกรที่มีฐานะยากจนให้ลืมตาอ้าปากได้จากการปลูกยาง ซึ่งให้ผลผลิตตอบแทนสูงคุ้มค่ากับการลงทุน


"สำหรับรูปแบบการดำเนินงานโครงการ ยังกำหนดจำนวนเป้าหมายเกษตรกรที่จะเข้าร่วมโครงการไว้เหมือนเดิม คือ จำนวน 80,000-160,000 ราย แบ่งเป็นพื้นที่ภาคเหนือ 150,000 ไร่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 500,000 ไร่ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ 150,000 ไร่ โดยเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจะต้องไม่เคยปลูกยางมาก่อน และมีที่ดินประมาณ 2-15 ไร่ โดยรัฐบาลจะสนับสนุนต้นกล้ายางให้ 90 ต้นต่อไร่" นายศุภชัยกล่าว


นายศุภชัยกล่าวว่า เพื่อให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นการเพาะปลูกในปีแรก ไปจนถึงสามารถกรีดยางได้ในช่วงปีที่ 7 นอกเหนือจากจัดฝึกอบรมให้ความรู้แก่เกษตรกรในทุกช่วงเวลาของการเพาะปลูกแล้ว ในส่วนของปัจจัยการผลิตที่สำคัญ คือ ปุ๋ย ซึ่งแจกฟรีให้แก่เกษตรกรจะมีการเพิ่มจำนวนให้เหมาะสมกับการเพาะปลูก จากเดิมกำหนดให้แจกจ่ายเพียง 3 ปี จะเพิ่มมาเป็น 7 ปี และในช่วงการเพาะปลูกจะมีการจ่ายเงินช่วยเหลือค่าแรงในการปลูกให้กับเกษตรกร ที่เข้าร่วมโครงการ ไร่ละประมาณ 3,000 กว่าบาทด้วย


"เหตุผลที่เราปรับเพิ่มเงื่อนไขการช่วยเหลือเกษตรกรที่เข้าร่วม โครงการ เป็นเพราะเห็นว่ากลุ่มเป้าหมายจะต้องเป็นเกษตรกรที่มีฐานะยากจน และไม่เคยปลูกยางมาก่อน ดังนั้น จะต้องได้รับการดูแลมากกว่าปกติ ไม่ว่าจะเป็นองค์ความรู้เรื่องการเพาะปลูก ปัจจัยการผลิต รวมถึงการให้เงินช่วยเหลือ เพื่อให้กล้ายางที่เกษตรกรรับไปปลูกมีปัญหาเกิดขึ้นน้อยที่สุด" รัฐมนตรีช่วยฯเกษตรฯระบุ


นายศุภชัยกล่าวว่า ผลจากการปรับปรุงเงื่อนไขการดำเนินงานเพิ่มเติมเหล่านี้ จะทำให้ตัวเลขงบประมาณที่จะนำมาใช้ในโครงการมีจำนวนสูงขึ้น จากตัวเลขเดิมที่ได้รับอนุมัติจาก ครม.มาแล้ว 3,900 ล้านบาท เพิ่มเป็น 8,000 ล้านบาท ทำให้จะต้องมีการนำเสนอรายละเอียดส่วนนี้กลับเข้าที่ประชุม ครม.พิจารณาอีกครั้ง ทั้งนี้ ในส่วนที่มาของงบประมาณที่จะนำมาใช้ขณะนี้มีความชัดเจนแล้วว่าจะใช้วิธีการ กู้เงิน เนื่องจากได้รับแจ้งจากการคลังว่างบกลางปีนี้ถูกจัดสรรไปหมดแล้ว โดยเบื้องต้นกระทรวงการคลังจะทำเรื่องขอกู้เงินโดยผ่านธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อนำมาใช้ในการดำเนินงานโครงการ  


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบมติ ครม. เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ที่อนุมัติให้ดำเนินงานโครงการขยายพื้นที่เพาะปลูกยางดังกล่าว ปรากฏว่า ไม่ได้ระบุว่ามีค่าใช้จ่ายให้กับเกษตรกรในการเพาะปลูกยางแต่อย่างใด โดยงบประมาณที่เสนอเข้ามา ทั้งหมด 3,974.56 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าพันธุ์ยาง และปุ๋ย ที่จะแจกจ่ายให้เกษตรกร 2,823.20 ล้านบาท ค่าฝึกอบรมเกษตรกรตลอดโครงการ 800 ล้านบาท และค่าบริหารจัดการโครงการ 351.36 ล้านบาท ของสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.)

                              http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1280957353&grpid=01&catid=no
--
http://www.classifiedthai.com/event_view.php

แขนวิเศษ

วันที่ 05 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7189 ข่าวสดรายวัน


แขนวิเศษ





ยู น วู กึน นักวิทยาศาสตร์ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์อุตสาหกรรมขั้นสูงและเทคโนโลยีญี่ปุ่น ดื่มน้ำจากถ้วยที่อยู่ในมือของแขนกลสำหรับผู้พิการ รุ่น "ราพูดา" ในระหว่างสาธิตการใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์ในอุตสาหกรรมบริการ เหมาะสำหรับเอาไว้ติดตั้งในรถเข็น ที่นิทรรศการโรโบ กรุงโตเกียว


หน้า 28



http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROMFpXTXdOVEExTURnMU13PT0=&sectionid=TURNeU5nPT0=&day=TWpBeE1DMHdPQzB3TlE9PQ==

--
http://www.classifiedthai.com/event_view.php