วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553
เจาะเส้นทาง"ธาริต เพ็งดิษฐ์"รับใช้นายไม่เลือกสี สอบภาษีแค่น้ำจิ้ม ต้องเจออีกหลายดอก หมอดูฟันธงดวงดี
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1280830982&grpid=&catid=02
--
http://www.classifiedthai.com/event_view.php
--
http://www.classifiedthai.com/event_view.php
อธิการบดีคนใหม่ ภาพลักษณ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1280915052&grpid=&catid=02
--
http://www.classifiedthai.com/event_view.php
--
http://www.classifiedthai.com/event_view.php
รมช.เกษตรชงครม.ของบฯเพิ่มเป็น 8 พันล้าน ปลูกยางเฟส 2 อ้างปรับเงื่อนไขแจกปุ๋ยฟรี 7 ปี "สุเทพ"ไฟเขียวแล้ว
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1280957353&grpid=01&catid=no
--
http://www.classifiedthai.com/event_view.php
--
http://www.classifiedthai.com/event_view.php
แขนวิเศษ
วันที่ 05 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7189 ข่าวสดรายวัน
แขนวิเศษ
ยู น วู กึน นักวิทยาศาสตร์ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์อุตสาหกรรมขั้นสูงและเทคโนโลยีญี่ปุ่น ดื่มน้ำจากถ้วยที่อยู่ในมือของแขนกลสำหรับผู้พิการ รุ่น "ราพูดา" ในระหว่างสาธิตการใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์ในอุตสาหกรรมบริการ เหมาะสำหรับเอาไว้ติดตั้งในรถเข็น ที่นิทรรศการโรโบ กรุงโตเกียว
หน้า 28
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROMFpXTXdOVEExTURnMU13PT0=§ionid=TURNeU5nPT0=&day=TWpBeE1DMHdPQzB3TlE9PQ==
--
http://www.classifiedthai.com/event_view.php
แขนวิเศษ
หน้า 28
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROMFpXTXdOVEExTURnMU13PT0=§ionid=TURNeU5nPT0=&day=TWpBeE1DMHdPQzB3TlE9PQ==
--
http://www.classifiedthai.com/event_view.php
บูรพาพยัคฆ์
บูรพาพยัคฆ์
คอลัมน์ คอลัมน์ที่13
"บูรพาพยัคฆ์" คือชื่อเรียกนายทหารที่รับราชการ หรือเคยผ่านการรับราชการในหน่วยกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.)
อันเป็นหน่วยที่ดูแลกองกำลังบูรพา รับผิดชอบพื้นที่ชายแดนภาคตะวันออก
ซึ่งกองทัพประเมินว่าชายแดนด้านตะวันออกที่ติดกับพื้นที่ประเทศกัมพูชาเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่สุดของประเทศ
ชื่อ บูรพาพยัคฆ์มีที่มาจากรากศัพท์จากฐานทัพที่กองทัพใช้หน่วยทหารต่างๆ เผชิญหน้าการสงครามระหว่างที่กัมพูชามีปัญหาความขัดแย้ง "เขมร 4 ฝ่าย" สมัยปี พ.ศ.2522
พล.ร.2 รอ. ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้เป็นหน่วยทหารรักษาพระองค์ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
เป็นกองพลทหารราบยานเกราะ กองพลเดียวในประเทศไทย
มีหน่วยขึ้นตรงภายใต้บังคับบัญชา ประกอบด้วย
กรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (ร.2 รอ.) ค่ายจักรพงษ์ จ.ปราจีนบุรี
กรมทหารราบที่ 12 รักษาพระองค์ (ร.12 รอ.) ค่ายไพรีระย่อเดช จ.สระแก้ว
กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ร.21 รอ.) (ทหารเสือราชินี) ค่ายนวมินทราชินี "ทหารเสือราชินี" จ.ชลบุรี
กรมทหารปืนใหญ่ที่ 2 รักษาพระองค์ (ป.2 รอ.) ค่ายพรหมโยธี จ.ปราจีนบุรี
รวมถึง
กอง พันทหารม้าที่ 30 รักษาพระองค์ (ม.พัน.30 รอ.) กองพันทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (ม.พัน.2 รอ.) กองพันทหารช่างที่ 2 รักษาพระองค์ (ช.พัน.2 รอ.) กองพันทหารสื่อสารที่ 2 รักษาพระองค์ (ส.พัน.2 รอ.)
ในอดีตเคย มีนายทหารคนสำคัญ ที่เคยเติบโตมาจาก พล.ร.2 รอ. เช่น พล.อ.ศัลย์ ศรีเพ็ญ อดีตรองผบ.ทบ. พล.อ.ชัยณรงค์ หนุนภักดี อดีตรองผบ.สส. พล.อ.นิพนธ์ ภารัญนิตย์ อดีตรองผบ.ทบ. พล.อ.อาชวินทร์ เศวตเศรณี อดีตแม่ทัพน้อยที่ 1
แต่บางคนไม่ได้ก้าวขึ้นเป็น ผบ.พล.ร.2 แต่เคยวนเวียนรับราชการคุมกำลังในพื้นที่นี้มาก่อน
เช่น พล.อ.วัฒนา สรรพานิช อดีตรองผบ.สส. และพล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร อดีตผบ.ทบ.
หรือ อดีตยังเติร์กคนดัง "วีรบุรุษตาพระยา" พ.อ.ประจักษ์ สว่างจิตร อดีตผู้การกรม 2 ค่ายจักรพงษ์ ถ้าอนาคตไม่วูบไปกับเหตุการณ์เมษาฮาวาย ก็มีสิทธิ์คั่วเก้าอี้ผบ.พล.ร.2 ในยุคนั้นเหมือนกัน
สำหรับนายทหารที่มีตำแหน่งสำคัญในปัจจุบัน ที่เคยผ่านเส้นทางเติบโตจากบูรพาพยัคฆ์ได้แก่
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผบ.ทบ. พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 พล.ต.อุดมเดช สีตบุตร รองแม่ทัพภาคที่ 1 พล.ต.ธีรชัย นาควานิช รองแม่ทัพภาคที่ 1
โดยมี พล.ต.วลิต โรจนภักดี เป็น ผบ.พล.ร.2 รอ. คนปัจจุบัน
ทั้ง พล.อ.อนุพงษ์ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.ท.คณิต มีส่วนเป็นกำลังสำคัญในการทำรัฐประหารเมื่อปี พ.ศ.2549
รวมทั้งยังถือเป็นขั้วอำนาจสำคัญทางฝ่ายทหาร ที่มีอิทธิพลต่อรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
และรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะด้วย
นอกจากเส้นทางการเติบโตมาจากสายบูรพาพยัคฆ์ พล.อ. อนุพงษ์และพล.อ.ประยุทธ์ยังเป็นกลุ่มนายทหารที่ผ่านเส้นทางของ "ทหารเสือราชินี"
คือเป็นผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์มาแล้วด้วย
บูรพาพยัคฆ์ผงาดคุมอำนาจกองทัพบกติดต่อกันมาหลายปี
และน่าจะต่อเนื่องไปอีกหลายปี
หน้า 6
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hNREExTURnMU13PT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdPQzB3TlE9PQ==
--
http://www.classifiedthai.com/event_view.php
--
http://www.classifiedthai.com/event_view.php
วันพุธที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2553
"บ้านกึ่งวิถี" พัฒนาทักษะเด็กพิการซ้อน
วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 7048 ข่าวสดรายวัน
"บ้านกึ่งวิถี" พัฒนาทักษะเด็กพิการซ้อน
คอลัมน์ ทั่วถิ่นไทย
สถิรา ปัญจมาลา ประชาสัมพันธ์ ศูนย์สารนิเทศการศึกษาขั้นพื้นฐาน สพฐ.
ด้วยความตระหนักว่า นักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเห็นและพิการซ้อนจะเป็นเด็กที่มีพัฒนาการช้า และแตกต่าง กันมาก มีศักยภาพการเรียนรู้ทักษะด้านวิชาการต่ำ ควรจะได้รับการพัฒนาและเตรียมความพร้อมทักษะการดำรงชีวิตประจำวัน สามารถเรียนรู้บทบาทหน้าที่ของตนเอง และสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมครอบครัวอย่างมีความสุข
โรงเรียนสอนคน ตาบอดภาคเหนือ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ จังหวัดเชียงใหม่ โดย ครูศิริพร ตันทโอภาส จึงได้จัดโครงการ บ้านกึ่งวิถี (The Half-Way House Program) ขึ้นตั้งแต่ปี 2549 จนถึงขณะนี้ซึ่งเป็นรุ่นที่ 2 มีเด็กอยู่ในโครงการเป็นนักเรียนหญิง 6 คน
โรงเรียนได้จัดหาบ้าน เช่าลักษณะทาวน์เฮาส์ 1 หลัง ซึ่งมีราคาเดือนละ 6,000 บาท อยู่ห่างจากโรงเรียนประมาณ 200 เมตร เพื่อให้เด็กที่ได้รับการคัดเลือกทั้ง 6 คน ที่เป็นผู้บกพร่องทางการเห็นและพิการซ้อน ใช้ชีวิตประจำวันร่วมกัน และมีผู้ดูแลความเรียบ ร้อยภายในบ้าน
ตื่นเช้าหลังจากจัดการธุระส่วนตัวทั้ง 6 คน จะเดินไปโรงเรียนพร้อมกันโดยไม่ใช้ไม้เท้าหรือผู้นำทาง (จะมีครูคอยดูอยู่ห่างๆ) เพื่อเข้าเรียนวิชาพื้นฐานและฝึกประกอบอาชีพหารายได้ระหว่างเรียนในห้อง เรียน
หลังโรงเรียนเลิกและวันหยุดเด็กจะแบ่งเวรกัน ทำความสะอาดบ้าน ซักผ้ารีดผ้า หุงข้าว ฯลฯ โดยมีครูคอยดูแลอย่างใกล้ชิด
สาเหตุที่โครงการบ้านกึ่งวิถี สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง ก็เพราะได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก The Hilton/ Perkins Program ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งพึงพอใจและชื่นชมผลการ จัดกิจกรรมที่ได้รับการพัฒนาให้เป็นแบบอย่างที่ดีในภูมิภาคนี้
ความพิการที่มีมาแต่กำเนิด มักจะเป็นความทุกข์ทรมานของผู้ที่เกิดมา รวมไปถึงบิดามารดา และครอบครัว ซึ่งผู้พิการแต่ละราย จำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูให้สามารถอยู่ในสังคมปกติ และสามารถพึ่งพาตนเองได้ เพื่อให้ตนเองเป็นภาระแก่สังคมน้อยที่สุด
นั่นคือจุดมุ่งหมายสำคัญของโครงการบ้านกึ่งวิถี
หน้า 30
--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687
http://www.tu.ac.th/org/ofrector/tu_council/record/nopporn.htm
http://www.visalo.org/
"บ้านกึ่งวิถี" พัฒนาทักษะเด็กพิการซ้อน
คอลัมน์ ทั่วถิ่นไทย
สถิรา ปัญจมาลา ประชาสัมพันธ์ ศูนย์สารนิเทศการศึกษาขั้นพื้นฐาน สพฐ.
ด้วยความตระหนักว่า นักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเห็นและพิการซ้อนจะเป็นเด็กที่มีพัฒนาการช้า และแตกต่าง กันมาก มีศักยภาพการเรียนรู้ทักษะด้านวิชาการต่ำ ควรจะได้รับการพัฒนาและเตรียมความพร้อมทักษะการดำรงชีวิตประจำวัน สามารถเรียนรู้บทบาทหน้าที่ของตนเอง และสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมครอบครัวอย่างมีความสุข
โรงเรียนสอนคน ตาบอดภาคเหนือ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ จังหวัดเชียงใหม่ โดย ครูศิริพร ตันทโอภาส จึงได้จัดโครงการ บ้านกึ่งวิถี (The Half-Way House Program) ขึ้นตั้งแต่ปี 2549 จนถึงขณะนี้ซึ่งเป็นรุ่นที่ 2 มีเด็กอยู่ในโครงการเป็นนักเรียนหญิง 6 คน
โรงเรียนได้จัดหาบ้าน เช่าลักษณะทาวน์เฮาส์ 1 หลัง ซึ่งมีราคาเดือนละ 6,000 บาท อยู่ห่างจากโรงเรียนประมาณ 200 เมตร เพื่อให้เด็กที่ได้รับการคัดเลือกทั้ง 6 คน ที่เป็นผู้บกพร่องทางการเห็นและพิการซ้อน ใช้ชีวิตประจำวันร่วมกัน และมีผู้ดูแลความเรียบ ร้อยภายในบ้าน
ตื่นเช้าหลังจากจัดการธุระส่วนตัวทั้ง 6 คน จะเดินไปโรงเรียนพร้อมกันโดยไม่ใช้ไม้เท้าหรือผู้นำทาง (จะมีครูคอยดูอยู่ห่างๆ) เพื่อเข้าเรียนวิชาพื้นฐานและฝึกประกอบอาชีพหารายได้ระหว่างเรียนในห้อง เรียน
หลังโรงเรียนเลิกและวันหยุดเด็กจะแบ่งเวรกัน ทำความสะอาดบ้าน ซักผ้ารีดผ้า หุงข้าว ฯลฯ โดยมีครูคอยดูแลอย่างใกล้ชิด
สาเหตุที่โครงการบ้านกึ่งวิถี สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง ก็เพราะได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก The Hilton/ Perkins Program ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งพึงพอใจและชื่นชมผลการ จัดกิจกรรมที่ได้รับการพัฒนาให้เป็นแบบอย่างที่ดีในภูมิภาคนี้
ความพิการที่มีมาแต่กำเนิด มักจะเป็นความทุกข์ทรมานของผู้ที่เกิดมา รวมไปถึงบิดามารดา และครอบครัว ซึ่งผู้พิการแต่ละราย จำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูให้สามารถอยู่ในสังคมปกติ และสามารถพึ่งพาตนเองได้ เพื่อให้ตนเองเป็นภาระแก่สังคมน้อยที่สุด
นั่นคือจุดมุ่งหมายสำคัญของโครงการบ้านกึ่งวิถี
หน้า 30
--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687
http://www.tu.ac.th/org/ofrector/tu_council/record/nopporn.htm
http://www.visalo.org/
วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
Facebook | นที สรวารี: โรงเรียนข้างถนน คนสนามหลวง
Facebook | นที สรวารี: โรงเรียนข้างถนน คนสนามหลวง
เคยนับเล่นๆ ดูไหมว่าเดินผ่านสนามหลวงปีหนึ่งกี่ครั้ง นั่งพักให้หายเหนื่อยกี่หน เชื่อแน่ว่าหลายคนใช้พื้นที่นี้เป็นทางผ่าน แต่อีกหลายร้อยชีวิต ท้องสนามหลวงเรียกได้ว่าเป็น “บ้าน” แม้จะมีคำถามอยู่บ้างว่าอะไรที่ทำให้คนเหล่านี้เลือกหันหลังออกจากครอบครัว ออกสู่ถนน เพราะความล้มเหลวเชิงนโยบายและโครงสร้างสังคม เพราะสภาพเศรษฐกิจที่บีบรัดใช่หรือไม่ หรือเพียงเพราะพวกเขาต้องการมีพื้นที่แห่งความสุขเท่านั้น
คนมีสตางค์สามารถเจอะเจอเพื่อนใหม่ๆ ได้ตามผับ เธค บาร์ หรือร้านอาหาร แล้วนั่งดริงก์สร้างสัมพันธ์ แต่คนยากคนจนมักจะมีที่พบปะเป็นริมถนน คนละกั๊กคนละแบนก็มีความสุข เฮฮากัน ทว่าบางคนถูกพันธนาการด้วยคำสัญญาที่หวังว่าเพื่อนจะมาหาอีก จากวันเป็นเดือน จนเคลื่อนเป็นปี กระทั่งเสพติดกับพื้นที่จนกลายเป็นคนสนามหลวงอย่างเต็มตัว
**เสน่ห์และความจริงที่สนามหลวง
สำหรับผู้ชายคนหนึ่ง เหตุการณ์ที่เกิดในบริเวณสนามหลวงเมื่อ 3 ปีก่อน เป็นจุดเริ่มต้นให้เขาได้ทำงานกับกลุ่มคนไร้บ้านในพื้นที่สนามหลวงและคลอง หลอดอย่างจริงจัง...
นที สรวารี หรือ ครูเอ็กซ์ ในฐานะนายกสมาคมกิจกรรมสร้างสรรค์อิสรชน เล่าย้อนไปในคืนที่ฟ้าห่มผ้าลายดวงดาวขาว-ดำเมื่อ 3 ปีก่อนว่า หลังจากเหนื่อยอ่อนจากการลงพื้นที่ทำงานกับเด็กเร่ร่อนในต่างจังหวัดแล้ว แวะพักเหนื่อยที่สนามหลวงและเผลอหลับขณะที่ข้าวของอย่างโทรศัพท์มือถือ ตลอดรวมถึงกระเป๋าสตางค์ยังวางแบะที่หน้าอก คำพูดที่ว่าหากมาสนามหลวงของมีค่าหายไม่มีเหลือแน่เหมือนจะปลุกให้ตนเอง ตื่นขึ้นมา
แต่สิ่งที่ เห็นเมื่อลืมตาพบก็คือมีชายแก่คนหนึ่งนั่งพัดปัดยุงและจุดยากันยุงให้ นี่เองทำให้ค้นพบคำตอบและอยากจะบอกให้คนอื่นๆ ได้เห็นแบบเดียวกันว่า นี่คือเสน่ห์เล็กๆ ของอีกมุมเมือง หากแต่ใส่ใจดูสักเพียงนิด
“สถานการณ์ของคนสนามหลวงตอนนี้จะมีตั้งแต่กลุ่มคนที่มีบ้านแต่ไม่ อยากอยู่เพราะไม่มีความสุข อีกกลุ่มหนึ่งคือครอบครัวมีฐานะ แต่อาจจะเหงา เมื่อเขามาแถวนี้แล้วพบว่าคนที่นี่มีความเอื้อเฟื้อในความรู้สึกของเขา อาจจะด้วยการพูดคุย ร้องเพลงเฮฮา ก็ตัดสินใจมาอยู่ นอกจากนี้ยังมีคนที่เข้ามาทำงานแล้วถูกหลอก ไม่รู้จะไปไหน สนามหลวงก็เป็นที่พักสุดท้าย”
“คน ที่ใช้พื้นที่คลองหลอดสนามหลวงมี 2- 3 ส่วนคือกลุ่มของผู้ขายบริการทั้งผู้หญิงและผู้ชายตลอด 24 ชั่วโมงมี 800-1,000 คน คนเร่ร่อนไร้บ้านมีไม่น้อยกว่า 50-80 ครอบครัว โดยเฉลี่ยแล้วจะมีคนเร่ร่อนในละแวกนี้ไม่น้อยกว่า 200-300 คน ยังไม่รวมถึงคนที่มาแบบเดี่ยวๆ รวมทั้งหมดไม่น้อยกว่า 500 คน ตัวเลขค่อนข้างเยอะและไม่นิ่งตายตัว” ครูเอ็กซ์เล่า
**เรียนรู้ชีวิตจากครูข้างถนน
ครูเอ็กซ์บอกว่า ในระยะแรกๆ สมาคมฯ เข้ามาช่วยเหลือกลุ่มคนในพื้นที่คลองหลอดสนามหลวงให้ห่วงใยสุขภาพและคุณภาพ ชีวิตมากขึ้น จากนั้นเริ่มส่งครอบครัวเร่ร่อนให้ได้กลับบ้าน ทั้งระดมทุนให้เดินทางกลับเอง ติดต่อญาติให้มารับ หรือประสานงานกับนายจ้างเพื่อหาวิชาชีพให้
ขณะเดียวกันสมาคมฯ พยายามที่จะผลักดันและเปิดโอกาสกับทุกคนในสังคมที่อยากใช้เวลาว่างเรียนรู้ รูปแบบการใช้ชีวิตที่แตกต่างไปจากปกติวิสัย โดยการสมัครเป็นอาสาสมัคร ใช้เวลาหนึ่งวันตั้งแต่เช้าจดค่ำลงพื้นที่บริเวณคลองหลอดสนามหลวง ศึกษาการใช้ชีวิตร่วมกับกลุ่มคนไร้บ้าน คนอิสรชนเรียกกิจกรรมนี้ว่า “โรงเรียนข้างถนน”
“ไม่ต้องมานอนค้าง แค่มาเรียนรู้มากินข้าวแกงจานละ 10 บาทข้างถนนกับคนสนามหลวง มาเป็นผู้สังเกตการณ์ด้วยความสงบ ปราศจากอคติ บางคนอาจจะตั้งคำถามก็ได้ว่าทำไมคนกลุ่มนี้จึงต้องดื่ม พวกเขาพูดเรื่องอะไรกัน บรรยากาศการพูดคุยเป็นอย่างไร แล้วจะพบว่าคนเล็กๆ กลุ่มนี้ แม้ภายนอกจะดูคล้ายกับคนกร้าวร้าว น่ากลัว แต่จริงๆ แล้วมีความเกื้อกูลกันแฝงอยู่ ซึ่งนี่เองคือสิ่งที่อิสรชนเพียรบอกกับอาสาสมัคร ซึ่งมีทั้งนักศึกษา นักเรียน และคนทำงาน” ครูเอ็กซ์ของชาวสนามหลวงให้ภาพ
**เปิดใจนักเรียนข้างถนน
และวันที่บรรดาครูผู้ยึดคลองหลอดเป็นบ้านจะเปิดประตูต้อนรับนักเรียนที่จะมาศึกษาบทเรียนชีวิตจากพวกเขาก็มาถึงอีกครั้ง...
“ตอนแรกก็กลัวเลยแหละ แต่พอได้เข้ามาคุยก็รู้สึกดีขึ้น เห็นว่าชีวิตเขาเจออะไรที่โหดร้ายมาเยอะ แต่ว่าก็ยังไม่สนิทใจเพียงพอที่จะกล้ามาเดินแถวสนามหลวงคนเดียว...” นี่คือคำกล่าวของ ติ๊ก-สุดาวรรณ ผาสุข นักศึกษาปริญญาโท สาขานิเทศศาสตร์พัฒนาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
วันนี้ติ๊กมาลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลคนเร่ร่อน เธอบอกว่าเพิ่งจะมาคลองหลอดสนามหลวงอย่างจริงจังเป็นครั้งที่ 2 เท่านั้น ความหวาดหวั่นผ่านคำบอกเล่าจึงมีอยู่ให้เห็น ทว่าแววตาที่มองไปยังคนเร่ร่อนไร้บ้านก็ยังมีความอาทรแฝงอยู่นัยน์ตาคู่ นั้นเช่นกัน
“ครั้งนี้มาศึกษาข้อมูลการกลับบ้านของคนเร่ร่อน แล้วก็ได้ข้อคิดดีๆ กลับบ้านไปด้วย เมื่อฟังคนเร่ร่อนได้เล่าเรื่องตัวเอง รู้สึกว่าพวกเขามีความภูมิใจในตัวเองที่อย่างน้อยยังมีคนรับฟังเรื่องราว ทั้งดีหรือไม่ดีของพวกเขา เพราะอย่างน้อยก็ก่อให้เกิดความรู้สึกว่า ตัวเองพอจะมีประโยชน์ต่อคนอื่นอยู่บ้าง” นักศึกษาปริญญาโทพูดเมื่อเราเดินผ่านกลุ่มคนไร้บ้านออกมา
อัจฉรา อุดมศิลป์ หรือ น้องจ๊ะจ๋า นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในอาสาสมัครที่คุ้นเคยกับคนสนามหลวงเป็นอย่างดี เล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นที่ได้มาลงพื้นที่ว่า ได้เข้ามาฝึกงานตั้งแต่เรียนปี 2 ในครั้งแรกที่ได้เจอกับกลุ่มคนไร้บ้านจะรู้สึกกลัว เกรงว่าจะมีอันตราย ครอบครัวก็ไม่เห็นด้วยกับการลงมาทำงานกับคนกลุ่มนี้ แต่เมื่อได้มาสัมผัสในทุกด้านแล้ว ความเกรงกลัวถูกทลายด้วยรอยยิ้มของคนคลองหลอด-สนามหลวง
“พี่ ที่สมาคมอิสรชนรับรองความปลอดภัยให้ แต่ภาพในความคิดของเรามันยังอันตรายอยู่ แม่ก็เป็นห่วง วันแรกที่มาเกรงๆ กลัวๆ ไม่รู้จะพูดหรือทำอะไรไป ถ้าผิดแล้วจะถูกทำอะไรรึเปล่า แต่พอได้ลงพื้นที่บ่อยๆ ก็พบว่าคนไร้บ้านก็มีความน่ารัก มีเสน่ห์ บางทีเราก็ได้ข้อคิดจากพวกเขา เพราะเขาผ่านอะไรมามาก ทำให้เราหันกลับไปมองตัวเองมากขึ้น มองคนที่เรารักที่บ้านมากขึ้นว่าเคยทำผิดอะไรหรือเปล่า เพราะบางเรื่องที่คิดว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่ทำให้บางคนสะเทือนใจจนเป็นแรงผลักให้ออกมาเป็นคนเร่ร่อนก็ได้”
จ๊ะจ๋า เล่าว่า เมื่อเธอหายไปและกลับมาเยี่ยมคนเหล่านี้อีกครั้ง จะมีคำไถ่ถามเช่นญาติผู้ใหญ่ที่ทักทายลูกหลาน บ้างก็ว่าผอมลง อ้วนขึ้น แล้วก็เริ่มเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในพื้นที่ให้ฟัง
“การได้มาเยี่ยม มาคุย ทำให้เห็นว่าคนไร้บ้านอยู่อย่างไร กินอย่างไร ใครไม่สบาย หรือต้องการความช่วยเหลือ เวลาที่ได้กินอาหารดีๆ ก็จะนึกถึงเขา เห็นอะไรก็จะเอาไปเล่าให้แม่ฟัง ปรับทัศนคติที่บ้านได้ด้วย จากที่เขารู้สึกไม่ดีก็ไม่ได้ดูถูกหรือเกลียดชังแล้ว”
จ๊ะจ๋าทิ้งท้ายด้วยความรู้สึกว่า อย่ามองคนแต่เพียงภายนอก จริงอยู่ว่าคนกลุ่มนี้มีส่วนหนึ่งที่เกเร แต่ในสายตาคนนอกต้องเข้าใจว่าชีวิตของพวกเขาอาจจะผ่านสิ่งที่เลวร้ายอย่าง ไม่น่าเชื่อมา จึงต้องมีเกราะป้องกันตัวเองให้ดูเข้มแข็งจนบางครั้งดูกร้าวร้าว หากได้มาลองฟังเรื่องของพวกเขาเพียงสักครั้งจะทำให้ยอมรับในการต่อสู้ชีวิต และหวนคิดว่าหากเป็นเราจะสู้ได้เท่าที่เขาสู้หรือไม่
และกลุ่มสุดท้ายที่ร่วมลงพื้นที่สนามหลวงคลองหลอดครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้น ม.5 จากโรงเรียนสตรีวัดระฆัง น้องลูกน้ำ-พรทิวา แก้วนาเคียน ตัวแทนเพื่อนๆ อีก 10 คนเล่าว่า เริ่มเก็บข้อมูลและขอลงพื้นที่กับกลุ่มอิสรชนตั้งแต่ช่วงปีใหม่ แต่ยังไม่กล้าลงมาพูดคุยอย่างกล้าหาญเช่นครั้งนี้
“ครั้งแรกเราก็ไม่ได้คุยกับใครเพราะเราก็เหมือนคนแปลกหน้าสำหรับเขา เขาไม่ไว้วางใจ เราก็กลัว แต่ว่าพอมาคุยกับป้าๆ ที่นี่ รู้สึกว่ารักแม่มากกว่าเดิม ถ้ามีครอบครัวถ้าไม่เอาใจใส่ก็จะเจอสภาพปัญหาอย่างนี้เกิดขึ้น และถ้าเอาใจใส่มากไปเขาก็อาจจะอึดอัดจนหนีออกมาก็ได้ ทุกอย่างต้องอยู่บนความพอดี เห็นได้ชัดว่าทัศนคติของพวกเราเปลี่ยนไป เข้าใจมากขึ้นว่าคนเร่ร่อนบางคนมีความจำเป็นที่จะต้องมาอยู่ที่นี่ พวกเขาคงไม่มีความสุขเท่าไหร่นัก แต่ที่นี่คงปลอดภัยสำหรับเขาจริงๆ” น้องลูกน้ำพูดยิ้มๆ
**คำให้การคนไร้บ้านบางส่วนเสี้ยว
ณ วันนี้ตั้งแต่ปี 2549 ที่ผ่านมา กลุ่มสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชนได้ประสานงานให้คนเร่ร่อนได้กลับบ้านไปแล้ว 9 ครอบครัว ส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับรายงานว่าจะหวนกลับมาที่คลองหลอดสนามหลวงอีก แต่มีบางครอบครัวที่หวนกลับมาใช้ชีวิตในพื้นที่นี้อีก เนื่องจากพวกเขาสูญเสียแก้วตาดวงใจไป
โจ้ และ อุ้ม หนุ่มสาวชาวสกลนครหน้าซื่อ ร่างกายของโจ้ผอมกะหร่อง สองขาที่ดูไร้เรี่ยวแรงยืนขายภาพวาดให้กับผู้มาถวายสักการะสมเด็จพระเจ้า พี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เขากลับมาเป็นคนสนามหลวงอีกครั้งหลังจากที่ลูกสาววัย 4 เดือนเสียชีวิตด้วยไข้มาลาเรีย หลังจากตัดสินใจลาขาดสนามหลวงเพื่อไปทำงานที่กระบี่ แต่จนแล้วจนรอดเขาและภรรยาก็หนีวงเวียนนี้ไม่พ้น วันนี้โจ้บอกว่าเขาอยากจะเก็บเงินให้ได้เพียงพอที่จะจับรถไปกระบี่แล้วไปขอ ใบมรณะบัตรลูกสาว แล้วค่อยไปบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิด ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อใด
ป้าพร อดีตสาวเชียงใหม่ที่วันนี้ตั้งหลักปักฐานบนพื้นที่คลองหลอดไปแล้วเต็มตัว ใบหน้าที่มีเค้าโครงความงามเมื่อครั้งสาวรุ่น เล่าด้วยน้ำตานองหน้าถึงอดีตที่ผ่านมา การระเห็จออกจากบ้านไปอยู่อุดรธานีตั้งแต่แรกสาว 18 เพราะความรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมในครอบครัว ป้าพรตัดสินใจขายบริการ จนกระทั่งได้พบพ่อของลูกสาว 2 คนในปัจจุบัน หลังจากสามีเสียชีวิต และอีกหลายเหตุผลที่ทำให้ป้าพรกลายเป็นคนเร่ร่อน และป้าพรก็เป็นคนหนึ่งที่กลับบ้านแล้วกลับมาอีก
“ป้า เลิกขายบริการเพราะสามีที่ดี เราสองคนย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ และเลี้ยงลูกสาว 2 คนจนโต วันนี้ลูกสาวคนโตทำงานในบริษัทเอกชน คนเล็กเรียนปีสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง เวลาที่นักเรียนมาเยี่ยม เอาขนมหรือหายามาให้ทำให้เราคิดถึงลูกนะ แต่ว่าถ้าเราไปอยู่ที่บ้านมันก็ไม่มีความสุข เพราะเขารักเรามากเกินไป ต้องกินเหมือนลูก ไปไหนกับลูก เวลาเขาไปทำงานเขาก็จะล็อกประตูจากด้านนอก ป้าไปไหนไม่ได้ มันเหงา สุดท้ายก็ตัดสินใจกลับมาอีก วันนี้ยังอยากให้ลูกมาเยี่ยมบ้าง แต่ถามว่าจะให้กลับไปอยู่ด้วยอีกไหม ยังไม่รู้ เพราะอยู่นี่ป้าก็มีความสุขดี” มือหนึ่งปาดน้ำตา อีกมือหนึ่งป่ายเปะปะหาที่ยึดเหนี่ยวพอให้ร่างซูบผอมนั้นมั่นคง
ครอบครัวล่าสุดที่กำลังจะเดินทางกลับบ้านคือ พี่นางและน้องดา-ลูกสาว เด็กหญิงวัย 2 ขวบกว่า กว่าขวบปีที่ครูเอ็กซ์กล่อมให้พี่นางกลับบ้าน โดยใช้อนาคตลูกเป็นแรงขับให้การตัดสินใจกลับบ้านง่ายขึ้น
“เราจากบ้านมา 10 กว่าปีแล้ว กลัวว่าพ่อแม่ ญาติพี่น้องจะไม่รับลูกสาวเรา ลำพังตัวเองจะโดนอย่างไรไม่กลัว แต่ลูกเรายังเด็ก อยู่ที่สนามหลวงก็ไม่ดีกับเขา แต่ถ้ากลับบ้านเราก็ไม่แน่ใจ”
คำสารภาพด้วยสำนึกผิดออกจากปากสาวอุดรธานีไม่ขาดสาย ก่อนหน้านี้พี่นางก็ทำงานรับจ้างเรื่อยมา จนมีเหตุให้ต้องมาอาศัยที่คลองหลอดเมื่อ 4 ปีมาแล้ว ถ้าหากไม่มีอนาคตของลูกสาวมาโหมให้ความคิดถึงบ้านให้กรุ่นขึ้นมา พี่นางก็ยังจะเป็นคนพื้นที่นี้เรื่อยไป
“คนที่นี่รักลูกเรามาก เอ็นดู ลุงๆ ป้าๆ ก็เตือนว่าถ้าปล่อยให้น้องดาโตที่นี่ ไม่ช้าเขาก็จะกลายเป็นคนสนามหลวงเหมือนเรา ปัญหามันก็จะไม่สิ้นสุดเสียที วันนี้น่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดสำหรับน้องดา” สิ้นคำพูดนั้นรถก็วิ่งออกไป ปลายทางอยู่แห่งไหนคงเป็นเรื่องของคนภายในรถที่จะบอกได้ หากแต่คนนอกเห็นว่าสองแม่ลูกได้หันหลังให้สนามหลวงแล้ว
**คืนสถานะทางสังคม ช่วยยาใจคนไร้บ้าน
นที บอกว่าตั้งแต่เริ่มมีอาสาสมัครมาลงพื้นที่ เห็นได้ชัดว่ามีการเกื้อกูลในสังคมเล็กๆ การที่อาสาสมัครมานั่งคุยกับคนเร่ร่อนในเสื่อผืนเดียวกัน เพียงเท่านี้ก็สามารถเรียกความเป็นมนุษย์ของคนไร้บ้านกลับมาได้ พวกเขาจะไม่รู้สึกต่ำต้อยกว่าคนอื่น เป็นวิธีการที่ใช้คนอีกกลุ่มหนึ่งที่มีบ้านมาสร้างแรงบันดาลใจให้คนกลุ่ม นี้อยากกลับบ้าน เมื่อมีคนมาถามบ่อยๆ ว่า “บ้านอยู่ไหน?” หรือพูดว่า “กลับบ้านแล้วนะ” ตามหลักธรรมชาติเชื่อว่าจะสร้างความคิดถึงบ้านให้พวกเขาได้
“การเรียกสถานภาพทางสังคมให้เขาด้วยการไหว้ มีนักศึกษา นักเรียนมาให้ความเคารพทำให้คนที่เคยแต่โดนก่นด่า ถ่มน้ำลายรดหน้า ถูกตราหน้าว่าเป็นคนจน ขอทาน ไร้ค่า จากที่เป็นไอ้ หรือ อี แต่ ณ วันหนึ่งมีคนมานั่งคุยคำว่าพี่ ป้า น้า อา กลับมาอีกครั้ง เขากลายเป็นคนมีตัวตนอีกครั้งตามเสียงเรียกของเด็กๆ นี่เป็นการกู้ศักดิ์ศรีของคนไร้บ้านได้ง่ายๆ จากการพูดคุย หรือแบ่งปันด้วยความอ่อนน้อม การยกมือไหว้ในฐานะที่เขามีวัยวุฒิที่สูงกว่าเพียงเท่านี้เขาก็มีความสุข และเราก็จะรู้สึกมีความสุขด้วย”
นอกจากนี้ นายกสมาคมกิจกรรมสร้างสรรค์อิสรชนยังเสนอแนวคิดการบริหารจัดการพื้นที่ สำหรับคนเร่ร่อนไร้บ้านว่า สำหรับคนที่ไม่มีบ้านรัฐจะต้องเพิ่มทางเลือกให้คนเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมให้มีอาชีพหรือเข้าไปในความดูแลของรัฐ โดยหาเงื่อนไขที่จะทำให้เขาละเมิดกฎหมายน้อยที่สุด เพราะตนเชื่อว่าอย่างไรคนไร้บ้านยังสามารถสื่อสารกับรัฐได้
“คน ที่มาใช้พื้นที่สนามหลวงเป็นที่หลบร้อน หลบฝน ใช้พื้นที่คลองหลอดหลบเลียแผลใจ ส่วนใหญ่เป็นคนต่างจังหวัด หลายคนถูกเอาเปรียบจากสังคม ถูกโกง นายจ้างไม่จ่ายค่าจ้าง ยึดบัตรประชาชน ถูกล้วงกระเป๋า จนทำให้เป็นคนไม่มีเอกสารพิสูจน์ตัว เพราะฉะนั้นหากจะมีรถเคลื่อนที่สักคันเพื่อที่จะสำรวจการมีตัวตนอยู่ของคน เร่ร่อนและทำบัตรประชาชนให้ใหม่ เพื่อที่เขาจะได้มีสิทธิ์รับบริการจากรัฐได้เฉกเช่นคนท
คนมีสตางค์สามารถเจอะเจอเพื
**เสน่ห์และความจริงที่สนาม
สำหรับผู้ชายคนหนึ่ง เหตุการณ์ที่เกิดในบริเวณสน
นที สรวารี หรือ ครูเอ็กซ์ ในฐานะนายกสมาคมกิจกรรมสร้า
แต่สิ่งที่ เห็นเมื่อลืมตาพบก็คือมีชาย
“สถานการณ์ของคนสนามหลวงตอน
“คน ที่ใช้พื้นที่คลองหลอดสนามห
**เรียนรู้ชีวิตจากครูข้างถ
ครูเอ็กซ์บอกว่า ในระยะแรกๆ สมาคมฯ เข้ามาช่วยเหลือกลุ่มคนในพื
ขณะเดียวกันสมาคมฯ พยายามที่จะผลักดันและเปิดโ
“ไม่ต้องมานอนค้าง แค่มาเรียนรู้มากินข้าวแกงจ
**เปิดใจนักเรียนข้างถนน
และวันที่บรรดาครูผู้ยึดคลอ
“ตอนแรกก็กลัวเลยแหละ แต่พอได้เข้ามาคุยก็รู้สึกด
วันนี้ติ๊กมาลงพื้นที่เพื่อ
“ครั้งนี้มาศึกษาข้อมูลการก
อัจฉรา อุดมศิลป์ หรือ น้องจ๊ะจ๋า นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในอาสาสมัครที่คุ้นเคย
“พี่ ที่สมาคมอิสรชนรับรองความปล
จ๊ะจ๋า เล่าว่า เมื่อเธอหายไปและกลับมาเยี่
“การได้มาเยี่ยม มาคุย ทำให้เห็นว่าคนไร้บ้านอยู่อ
จ๊ะจ๋าทิ้งท้ายด้วยความรู้ส
และกลุ่มสุดท้ายที่ร่วมลงพื
“ครั้งแรกเราก็ไม่ได้คุยกับ
**คำให้การคนไร้บ้านบางส่วน
ณ วันนี้ตั้งแต่ปี 2549 ที่ผ่านมา กลุ่มสร้างสรรค์กิจกรรมอิสร
โจ้ และ อุ้ม หนุ่มสาวชาวสกลนครหน้าซื่อ ร่างกายของโจ้ผอมกะหร่อง สองขาที่ดูไร้เรี่ยวแรงยืนข
ป้าพร อดีตสาวเชียงใหม่ที่วันนี้ต
“ป้า เลิกขายบริการเพราะสามีที่ด
ครอบครัวล่าสุดที่กำลังจะเด
“เราจากบ้านมา 10 กว่าปีแล้ว กลัวว่าพ่อแม่ ญาติพี่น้องจะไม่รับลูกสาวเ
คำสารภาพด้วยสำนึกผิดออกจาก
“คนที่นี่รักลูกเรามาก เอ็นดู ลุงๆ ป้าๆ ก็เตือนว่าถ้าปล่อยให้น้องด
**คืนสถานะทางสังคม ช่วยยาใจคนไร้บ้าน
นที บอกว่าตั้งแต่เริ่มมีอาสาสม
“การเรียกสถานภาพทางสังคมให
นอกจากนี้ นายกสมาคมกิจกรรมสร้างสรรค์
“คน ที่มาใช้พื้นที่สนามหลวงเป็